Skip to main content

ทัศนคติกับการเรียนรู้การโปรแกรม

           คำพูดของครูจะมีผลกระทบต่อเด็กเป็นอย่างมาก สิ่งที่ครูพูดจะนำไปสู่กระบวนการคิด พฤติกรรม ปฏิกิริยาโต้ตอบ อารมณ์และการแสดงออก สามารถเป็นไปได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบต่อพฤติกรรมของเด็ก ดังคำของนักจิตวิทยาเด็กชื่อ ดร.เฮม จีนอตต์ กล่าวว่า “คำพูดของพ่อแม่และครูมีผลกระทบต่อการยอมรับนับถือและคุณค่าในตัวของเด็ก ซึ่งวิธีการสื่อสาร จะเป็นตัวกำหนดชีวิตในอนาคต” [1] ครูเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตและชะตากรรมของเด็ก จึง ควรเรียนรู้และศึกษาทักษะวิธีการสื่อสารที่ดีในการสอนแล้วนำมาใช้พัฒนาเด็ก ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลเพื่อช่วยให้เกิดทัศนคติแง่บวกต่อการเรียนรู้

ทำไมเด็กไม่อยากเรียน?

            สำหรับเด็กที่ไม่อยากเรียนอาจมาจากการมีทัศนคติแง่ลบกับการเรียน เช่น การเรียนหนังสือไม่รู้สึกท้าทาย ขาดแรงจูงใจ ไม่เห็นประโยชน์ของการเรียน ไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ ขาดทักษะที่จะใช้ในการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอนของครูทำลายความอยากเรียนรู้  [2]

           ทัศนคติ คือความรู้สึกและท่าทีของคนเราที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกในทางชอบ ไม่ชอบและมีผลทำให้บุคคลพร้อมที่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้นตามความรู้สึกดังกล่าว ธรรมชาติของทัศนคติจะเกิดจากการเรียนรู้และประสบการณ์ของบุคคล  เกิดจากความรู้สึกที่สะสมมานาน เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคลโดยทั่วไป สามารถถ่ายทอดไปสู่ผู้อื่นได้ และเปลี่ยนแปลงได้ [3],[5]

ทัศนคติในแง่บวกจึงเป็นเป็นหัวใจสำคัญของการอยากเรียนรู้ และส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ดีมีประสิทธิภาพ ดังนั้นครูจึงจำเป็นจะต้องปรับทัศนคติกับการเรียนของเด็กให้เป็นแง่บวก รับฟัง สร้างความเป็นมิตร สร้างความเคารพนับถือ และชี้นำให้เห็นประโยชน์ในการเรียน เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ เมื่อเด็กรู้สึกอย่างไรจะแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน หากเด็กรู้สึกดีจะมีความประพฤติดี

ทัศนคติแง่บวกกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

        ในการเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย วิชาการเขียนโปรแกรม เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งมีทัศนคติต่อการเรียนวิชานี้ว่า “หนูไม่ชอบการคำนวณ สูตร และสัญลักษณ์ประหลาดพวกนี้เลย” “หนูคิดว่ามันยากเกินไปที่สมองน้อยๆของหนูจะรับไหว” “ผมว่าผมคงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการเขียนโปรแกรมซักเท่าไร” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติแง่ลบที่มีต่อการเรียนวิชาการเขียนโปรแกรม

       ทัศนคติ เกิดจากความรู้ ความรู้สึกและความโน้มเอียงที่จะเกิดพฤติกรรม ซึ่งทั้งสามส่วนนี้มีอิทธิพลต่อกัน หากองค์ประกอบใดมีการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อทัศนคติที่เปลี่ยนไป ในที่นี้จะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบด้านความรู้สึก เพื่อเชื่อมโยงถึงการโน้มเอียงที่จะเกิดพฤติกรรม [4]

                ลองพิจารณาว่า ถ้าเราเป็นเด็กเราจะรู้สึกอย่างไรเมื่อสอบได้คะแนนไม่ดี แล้วครูพูดในลักษณะ ดังนี้[3]

  • A “ไม่มีเรื่องอะไรต้องมานั่งเสียใจ มันผ่านไปแล้วนี่นา แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
  • B  “ชีวิตมันก็อย่างนี้แหล่ะ ต้องมีความผิดพลาดไว้เป็นบทเรียน” 
  • C “ลองฝึกกันดูใหม่ไหม ฝึกตรงส่วนที่ผิดพลาดเพิ่มนะ”
  • D “หนูคิดว่าหนูผิดพลาดตรงไหนกัน ลองคิดซิ”
  • E  “โถ่! พลาดไปนิดเดียวเองเน๊อะ”

     จากสถานการณ์ดังกล่าวมีครูจำนวนไม่น้อยที่ใช้คำพูดเหล่านี้โดย ข้อ A ครูต้องการให้เด็กละทิ้งความเสียใจ ข้อ B ครูต้องการให้แง่คิดในเชิงปรัชญา ข้อ C ครูให้คำแนะนำในการเพียรพยายามเพิ่มขึ้น ข้อ D ครูให้เด็กตั้งคำถามเพื่อหาทางแก้ไขข้อผิดพลาด ข้อ E ครู ร่วมแสดงความเห็นอกเห็นใจ   คำพูดเหล่านี้ครูอาจต้องใช้ภาษากายและน้ำเสียงร่วมด้วย โดยต้องพิจารณาเลือกคำพูดให้เหมาะสมกับสถานการณ์และบริบทพื้นฐานที่แตกต่าง ของแต่ละคน เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าได้รับการยอมรับและระบายความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ครูจึงสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ

     การเรียนรู้ที่ประสบผลสำเร็จ มีจุดเริ่มต้นจากทัศนคติ การสร้างทัศนคติแง่บวกคือ รับฟัง สร้างความเป็นมิตร ใส่หรือปรับความคิดใหม่โดยประเมินสภาพการยอมรับให้เหมาะสมกับพฤติกรรมรายบุคคล สร้างแบบอย่างที่ได้รับความนับถือ และชี้นำให้เห็นประโยชน์ที่เด็กได้รับ หากครูสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติของเด็กเป็นแง่บวกได้ การจัดการเรียนรู้ก็จะสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะแตกต่างไปตามความสามารถในการรับรู้และเรียนรู้ของเด็ก เด็กบางกลุ่มค้นพบว่าตัวเองชอบเขียนโปรแกรม ขณะที่บางกลุ่มที่ไม่ชอบการเขียนโปรแกรม ก็ไม่รู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจที่จะเรียนวิชานี้ แม้ว่าครูจะไม่สามารถทำให้เด็กทุกคนรักที่จะเขียนโปรแกรม แต่ก็สามารถทำให้เด็กบรรลุวัตถุประสงค์ขั้นต้นของการเขียนโปรแกรมได้ทุกชั้นเรียน

 

ยกร่างบทความโดย นางสาวมุทิตา สำเภาเงิน  โรงเรียนชัยนาทพิทยาคม
บรรณาธิการโดย คณะบรรณาธิการสาขาคอมพิวเตอร์ สสวท

อ้างอิง

  1. บุษกริน  นิติวงศ์(2557). วิธีการพูดและสอนเด็ก เพื่อกระตุ่นให้เขาอยากเรียนรู้ –ฉบับปรับปรุง. กรุงเทพฯ:บี มีเดีย กรุ๊ป(ประเทศไทย)
  2. ไทย สเตมไลฟ์(2558). ทำไมเด็กไม่อยากเรียน[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://thaistemlife.co.th/com/?n=307. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2558
  3. สุริยเดว  ทรีปาตี(2558). จิตวิยาวัยรุ่น[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.nicfd.cf.mahidol.ac.th/th/images/documents/3.pdf. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2558
  4. จิรกุล  ครบสอน(2555). ความเครียดและพฤติกรรมการเผชิญความเครียดของวัยรุ่นในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. สาขาวิชาการพยาบาลเด็ก คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา.
  5. กชณา  สามชูสินธุ์(2558). ทัศนคติและความสนใจ[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://docs.google.com/document/d/1VJWPKJdgeonoVxDPOHbK8Jzi5lksAKujmsNajnCaCUI/edit?sort=name&layout=list&pid=0B49o_E87-am7OGQ5OTk4OTEtZmFmYi00MDcwLTk3ZGYtNTZmYmQ5NzAyNDFh&cindex=1. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2558

การใช้ Social Media กับการศึกษา

image001ภาพที่ 1  ผู้เรียนสร้างผลงานจากการเรียนรู้ด้วยสื่อสังคม      

        เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายและมีอิสระที่จะเข้าไปแบ่งปัน เผยแพร่ความรู้ที่ต้องการ สามารถแลกเปลี่ยน รวมทั้งเสนอความคิดได้โดยไม่ถูกปิดกั้นภายใต้กฎหมายที่กำหนด ก่อให้เกิดเครือข่ายที่เรียกว่า เครือข่ายสังคมออนไลน์(Social network) เพื่อติดต่อสื่อสารกัน  โดยมีสื่อสังคม(Social Media) เป็นเครื่องมือในการแบ่งปันแลกเปลี่ยน รูปภาพ วีดีโอ เสียง และข้อความ  สามารถนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน

image002-1ภาพที่ 2  ตัวอย่างเว็บบล็อกที่รวบรวมสื่อสังคม และใช้ในการจัดการเรียนการสอน

         การนำสื่อสังคมมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการศึกษาถือเป็นโอกาสที่เราจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งบางคนจะเห็นว่าการใช้งานสื่อสังคมเป็นเพียงการเล่นสนุก ไร้สาระ ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนสิ่งเสพติด เสียเวลาเรียน เสียเวลาทำงาน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีด้านดี และไม่ดี หากเรารู้จักการใช้ที่ถูกต้อง และสร้างสรรค์ เราจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากการใช้งาน

image003ภาพที่ 3 การนำ Slideshare มาใช้ในการนำเสนองานในรูปแบบสไลด์        

       การนำสื่อสังคม เช่น Facebook, Slideshare, Flickr, Scribd และ Youtube  มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ถือเป็นเครื่องมือที่หลากหลายในการใช้งาน เราสามารถนำสื่อสังคม เหล่านี้มารวบรวมและสร้างเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพได้อย่างน่าสนใจ โดยจุดเด่นของสื่อสังคม แต่ละชนิดที่มีรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างกัน เมื่อนำมารวบรวมและบริหารจัดการให้ดี เราจะสามารถได้แหล่งเรียนรู้ผ่านสื่อสังคม ที่มีความน่าสนใจ อาทิเช่น การนำ Facebook มาทำหน้าที่เป็นกระดานข่าว ใช้ในการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล, นำ Slideshare มาใช้ในการนำเสนองานในรูปแบบสไลด์,  ใช้  Flickr ในการนำเสนอรูปภาพ, นำเสนอเอกสารด้วย Scribd และใช้ Youtube ในการนำเสนอวีดิโอ การรวบรวมสื่อสังคมเหล่านี้ มาใช้ประโยชน์กับการเรียนการสอน ทำให้ ผู้เรียนเกิดความสนุกสนานในการเรียนรู้ สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง เรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำกัดจำนวนครั้ง อีกทั้งยังสามารถดาวน์โหลดเพื่อใช้ทบทวนความรู้แบบออฟไลน์ได้อีกด้วย

image004ภาพที่ 4  การนำสื่อสังคม Youtube มานำเสนอเป็นสื่อการเรียนรู้

        สื่อสังคมเหล่านี้ผู้สอนและผู้เรียนได้ใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว หากนำมาใช้ในการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยความสนุกสนาน โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันอย่างสะดวกรวดเร็ว ในขณะเดียวกันผู้สอนสามารถนำสื่อสังคมมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เว็บบล็อก เช่น www.wordpress.com รวบรวมสื่อสังคมประเภทต่างๆ มาบริหารจัดการให้เกิดการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์  
image005ภาพที่ 6  ผลงานของนักเรียนหลังจากเรียนรู้จากสื่อสังคม สามารถสร้างผลงานได้อย่างสร้างสรรค์

ยกร่างบทความโดย นางอารีลักษณ์ ปุ๊กน้อย  โรงเรียนเทพสุวรรณชาญวิทยา  จ. สมุทรสงคราม
บรรณาธิการโดย คณะบรรณาธิการสาขาคอมพิวเตอร์ สสวท.

คุณธรรมจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต

 

image001

ภาพที่ 1 การใช้งานอินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน

        อินเทอร์เน็ตถือเป็นสิ่งจำเป็นของสังคมในปัจจุบันของบุคคล ทุกเพศ ทุกวัย   ลองหันมองคนรอบๆ ข้างไม่ว่าจะขณะทานข้าว  นั่งรถโดยสาร หรือขณะเดินอยู่ก็ยังใช้อินเทอร์เน็ต จนเกือบเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต บางคนอยู่กับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลาทั้งใช้เพื่อการทำงาน  การศึกษา ความบันเทิง

image002

ภาพที่ 2 การใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ต่างๆ

การใช้งานอินเทอร์เน็ตมีหลากหลายรูปแบบทั้งเพื่อค้นหาข้อมูล รับส่งข้อมูลข่าวสาร ดูหนัง ฟังเพลง ประชาสัมพันธ์  แลกเปลี่ยนความรู้ ร่วมแสดงความคิดเห็น โดยได้รับข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่หลากหลาย สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว

     นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อทำลายชื่อเสียง หลอกลวง สร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น เช่น หลอกลวงเพื่อขอบริจาคทรัพย์และสิ่งของ การนำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จ นำเสนอวิดีโอและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน

     จะเห็นได้ว่าโลกอินเทอร์เน็ตมีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารทั้งด้านบวก และด้านลบ ดังนั้นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารมีจำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อมูลก่อนการตัดสินใจ โดยการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ และน่าเชื่อถือ หากตัดสินใจโดยไม่ได้ไตร่ตรองอาจส่งผลเสียตามมาได้ ในขณะเดียวกันผู้นำเสนอควรมีคุณธรรมจริยธรรมในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ให้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและถูกต้อง ใช้ถ้อยคำที่สุภาพเหมาะสม การกล่าวถึงบุคคลอื่นควรระมัดระวังในการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือสร้างความเสียหายให้แก่บุคคลนั้นๆ  รวมถึงการเผยแพร่ข้อความของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นจึงควรใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมีคุณธรรมจริยธรรม ตามบัญญัติ 10 ประการ [1] ซึ่งเป็นจรรยาบรรณที่ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ต้องยึดถือไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ผู้ใช้พึงระลึกและเตือนความจำเสมอ ดังนี้

                1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น เช่น ไม่ควรโพสต์ข้อความกล่าวหาบุคคลอื่นให้ได้รับความเสียหาย ไม่ควรโพสต์รูปภาพอนาจาร
                2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น เช่น เปิดฟังเพลงด้วยคอมพิวเตอร์ หรือเล่นเกมรบกวนผู้อื่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
                3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น เช่น แอบเปิดอ่านอีเมลของเพื่อน แก้ไขข้อความของผู้อื่นที่ได้เผยแพร่ข้อความไว้แล้วก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย
                4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร เช่น การแอบเจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูลการค้าของบริษัท ขโมยรหัสบัตรเครดิต
                5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ เช่น การแอบเจาะระบบเพื่อเปลี่ยนแปลงคะแนน
                6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์ เช่น ดาวน์โหลดโปรแกรมที่มีลิขสิทธิ์มาใช้ โดยมีโปรแกรมแก้ไขเพื่อให้ใช้งานได้
                7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์ เช่น ไม่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือไม่ใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าใช้
                8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน เช่น คัดลอกผลงานของเพื่อน และนำมาเสนอในเว็บบล็อกของตนเอง โดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา
                9. ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดจากโปรแกรมที่ตัวเองพัฒนาขึ้น
                10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกา และมารยาทของสังคมนั้น

         image004

ภาพที่ 3 มีความสุขกับการใช้งานคอมพิวเตอร์

          หากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีคุณธรรมจริยธรรม  เคารพกฎกติกาและกฎระเบียบของสังคม มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลอย่างถูกต้อง  ไม่เผยแพร่ข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ตระหนักถึงการกระทำที่จะส่งผลเสียต่อสังคม จะทำให้สังคมอินเทอร์เน็ตเป็นสังคมที่น่าเชื่อถือ เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์  มีความปลอดภัย และสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีความสุข

ยกร่างบทความโดย นางอารีลักษณ์ ปุ๊กน้อย  โรงเรียนเทพสุวรรณชาญวิทยา  จ. สมุทรสงคราม
บรรณาธิการโดย คณะบรรณาธิการสาขาคอมพิวเตอร์ สสวท.

อ้างอิง :

1.  สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร.  กรุงเทพฯ : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. กระทรวงศึกษาธิการ, 2553.

จาก Flowchart สู่ Scratch

          สิ่งสำคัญของการแก้ปัญหาใดๆ คือการกระบวนการแก้ปัญหา ในวิชาด้านวิทยาคอมพิวเตอร์เรียกว่าขั้นตอนวิธี (Algorithm)   ในการโปรแกรม (Programming) ครูผู้สอนจำเป็นจะต้องฝึกให้นักเรียนแสดงแนวความคิดในการแก้ปัญหาของตนโดยใช้รหัสลำลอง (Pseudocode) หรือ ผังงาน (Flowchart) ซึ่งเป็นเครื่องมือสากลที่ใช้ในการแสดงขั้นตอนการแก้ปัญหาทางคอมพิวเตอร์

          ปัญหาที่ครูผู้สอนพบในการสอนเขียนผังงานหรือรหัสลำลองคือ นักเรียนไม่เข้าใจการทำงานของโครงสร้างแบบมีเงื่อนไขและการทำซ้ำ การเขียนผังงานตามความเข้าใจจึงอาจทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่ตรงตามความต้องการหรือได้ผังงานที่ไม่ถูกต้อง วิธีการหนึ่งที่จะช่วยตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนในการเขียนผังงานคือการนำผังงานไปเขียนโปรแกรม Scratch

          Scratchเป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยสถาบัน MIT (The Massachusetts Institute of Technology) มีบล็อกคำสั่งที่นำมาวางต่อกัน ผู้ใช้ไม่ต้องพิมพ์คำสั่งใหม่ทั้งหมด จึงช่วยลดข้อผิดพลาดในการพิมพ์ นอกจากนี้ยังมีบล็อกที่ช่วยควบคุมการทำงานแบบมีเงื่อนไขและทำซ้ำ โดยผู้ใช้สามารถกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมลงในโครงสร้างเหล่านี้ได้

  2015.06.29_003

รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างคำสั่งในบล็อคควบคุม

ตัวอย่างการทำงานแบบมีเงื่อนไข เช่น พ่อค้าคนกลางจะต้องคัดเลือกปลาที่มีน้ำหนักตัวระหว่าง 5 ขีด ถึง 8 ขีด เพื่อส่งร้านอาหาร ให้เขียนโปรแกรมรับน้ำหนักปลาแต่ละตัว ตัวใดมีน้ำหนักอยู่ในช่วงดังกล่าวให้แสดงคำว่า “Pass”

      จากโจทย์แสดงว่าจะต้องมีการรับค่าน้ำหนักปลาแต่ละตัวเข้ามา โดยค่าที่รับจะรับเป็นจำนวนเต็มเท่านั้น นำมาตรวจสอบว่าน้ำหนักปลาตรงอยู่ในช่วง 5-8 ขีดหรือไม่ จะเขียนผังงานได้ดังรูปที่ 2

บล็อคควบคุม

รูปที่ 2 แสดงผังงานและ Scratch Script แสดงการทำงานแบบมีเงื่อนไข

          จากรูปที่ 2 เมื่อเขียนผังงานแล้วสามารถแปลงเป็นสคริปต์ โดยรับค่าด้วยบล็อก ask ค่าที่ผู้ใช้ป้อนจะถูกเก็บไว้ในบล็อก answer จึงใช้บล็อก set…to เพื่อนำค่าจากบล็อก answer เก็บไว้ในตัวแปร fishWeight แล้วนำค่าในตัวแปร fishWeight ไปเปรียบเทียบโดยใช้บล็อก if…then เมื่อเงื่อนไขที่กำหนด ( fishWeight > 4 ) and ( fishWeight < 9 ) เป็นจริง จะแสดงข้อความ Pass ด้วยบล็อก say หากไม่จริง จะสิ้นสุดการทำงาน

ตัวอย่างการทำงานแบบทำซ้ำ เช่น จงเขียนโปรแกรมหาผลรวมของเลข 1 – 10

          จากโจทย์เป็นการหาผลรวมของเลข 1 – 10 จึงต้องมีตัวนับจำนวนรอบในการทำงานและรันตัวเลข 1-10 ในตัวอย่างนี้ใช้ตัวแปร count เป็นตัวนับและรันตัวเลข ใช้ตัวแปร sum เก็บค่าผลรวม จำนวนรอบในการทำงานคือ 10 รอบ จึงตั้งเงื่อนไขในการทำซ้ำเป็น count <= 10 หมายความว่าจำมีการทำซ้ำเมื่อตัวแปร count มีค่าเป็น 1, 2, 3, …, 10 สามารเขียนผังงานได้ดังรูปที่ 3

2015.06.29_002

รูปที่ 3 แสดงผังงานและ Scratch Script แสดงการทำงานแบบทำซ้ำ

         จากผังงานในรูปที่ 3 สามารถแปลงเป็นสคริปต์ โดยใช้บล็อก set…to ในการกำหนดค่าเริ่มต้นให้กับตัวแปร ในที่นี้จะใช้กับตัวแปร sum และ count ในส่วนของการทำซ้ำของโปรแกรม Scratch จะมีบล็อกไว้กำหนดจำนวนรอบในการทำซ้ำได้เลย คือ บล็อก repeat เปรียบเทียบกับผังงานคือการตรวจสอบค่าในตัวแปร count เมื่อเงื่อนไขเป็นจริง เมื่อเงื่อนไขเป็นจริงจะทำการหาผลรวม โดยนำค่าที่อยู่ในตัวแปร sum มาเพิ่มค่าโดยใช้นิพจน์ sum = sum+count ตรงกับบล็อก set…for 1 secs (เพิ่ม for 1 secs เพื่อให้เห็นค่าที่ได้จากการคำนวณในขณะรันสคริปต์) ซึ่ง count จะมีการเพิ่มค่าครั้งละ 1 ด้วยบล็อก change … by

         จากตัวอย่างข้างต้น เมื่อผู้เรียนใช้ Scratch ในการตรวจสอบผลลัพธ์จะทำให้เกิดความเข้าใจลำดับและวิธีเขียนผังงานได้มากยิ่งขึ้น หากผลการทำงานของโปรแกรมไม่เป็นไปตามความต้องการ สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปที่ผังงานที่เขียนขึ้นว่าเกิดข้อผิดพลาดในขั้นตอนใด

          การนำ Scratch มาช่วยในการทำความเข้าใจเรื่องผังงาน เป็นวิธีการหนึ่งที่เหมาะกับผู้เรียนที่เริ่มต้นเรียนรู้การเขียนผังงาน เนื่องจาก Scratch ใช้งานง่าย และสามารถเชื่อมโยงลำดับความคิดในผังงานแต่ละขั้น     ไปยังสคริปต์แต่ละคำสั่งได้อย่างเป็นรูปธรรม เมื่อผู้เรียนมีทักษะในการเขียนผังงานได้เป็นอย่างดีแล้ว ก็จะสามารถถ่ายทอดความคิดจากผังงานไปสู่การเขียนโปรแกรมได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเขียนโปรแกรมด้วยภาษาใดก็ตาม

ยกร่างบทความโดย นางสาวชุลีพร สืบสิน  โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ภูเก็ต จ.ภูเก็ต
บรรณาธิการโดย คณะบรรณาธิการสาขาคอมพิวเตอร์ สสวท.

รหัส(ไม่)ลับ…. “QR Code”

         หากจะพูดถึงคำว่า “รหัส”อาจหมายถึงตัวเลข  ตัวอักษร  สัญลักษณ์  หรือภาพ ที่ใช้สื่อความหมายแทนข้อมูลเพื่อการสื่อสารที่รวดเร็ว หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “รหัสลับซึ่งเป็นรหัสในการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ต้องการเปิดเผยและจะต้องเก็บรักษารหัสนี้ไว้เฉพาะบุคคล หน่วยงาน หรือองค์กร เพื่อการรักษาข้อมูลที่สำคัญ แต่สำหรับรหัสบางประเภทกลับเป็นรหัสที่ต้องการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่อยู่ภายในรหัสนี้มักถูกแสดงไว้ตามที่สาธารณะหรือตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้ง่ายเช่น  ติดไว้ตามสื่อโฆษณา  หนังสือ หรือสื่ออื่นๆ ที่มีผู้รับข้อมูลข่าวสารได้จำนวนมาก 

qr-on-productรูปที่ 1 QR Code กับสื่อต่างๆ

จากรูปที่ 1 หลายคนคงเคยเห็นสัญลักษณ์แบบนี้มาบ้างแล้ว  และบางคนคงนึกสงสัยว่าสัญลักษณ์นี้คืออะไร? มีความหมายอย่างไร? สัญลักษณ์นี้เรียกว่า“QR Code”(Quick Response Code)  เป็นรหัสที่แทนข้อมูลเพื่อการเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว เช่น การชำระเงิน การเข้าสู่เว็บไซต์รายละเอียดสินค้าเพียงแค่ใช้โทรศัพท์มือถือหรือแทบเล็ตที่มีกล้องและติดตั้งโปรแกรมสำหรับอ่าน QR Code เช่น QR Code Reader , QR Droid Code Scanner,QuickMark  ก็จะทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารนั้นได้

image001  รูปที่ 2 QR Code

QR Code จัดเป็นบาร์โค้ดสองมิติ (Two-dimensional bar code: 2D bar code) สามารถอ่านข้อมูลได้ทุกทิศทางแม้จะเลอเสียหายบางส่วนก็ยังสามารถอ่านข้อมูลได้ นอกจากนี้ QR Code ยังใช้พื้นที่น้อยกว่าบาร์โค้ดชนิดอื่น สามารถย่อขนาดให้เล็กลงเพื่อติดในอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กได้

QR code มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีส่วนประกอบต่างๆ ดังนี้

Finder pattern สำหรับการตรวจหาตำแหน่งในการอ่านข้อมูล

Timing pattern สำหรับการตรวจตำแหน่งของแต่ละเซลล์

Alignment Pattern สำหรับแก้ไขการบิดเบือนของ QR Code

Quiet Zone เป็นพื้นที่ขอบQR Code

Data Areaหรือ Cell เป็นพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูล

image004รูปที่ 3 ส่วนประกอบของ QR Code

QR Code ถูกสร้างโดยการเข้ารหัสที่ซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน ผู้สนใจสามารถศึกษาวิธีการเข้ารหัสQR Code ได้ที่วารสารวิชาการหรือเว็บไซต์ต่างๆ เช่น วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอิสเทิร์นเอเชียปีที่ 3 ฉบับที่ 3 หน้า 26-32

image003รูปที่ 4 ตัวอย่างการเข้ารหัส QR Code

          จะเห็นได้ว่าบางขั้นตอนนั้นจะต้องใช้การคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนปัจจุบันเราสามารถสร้าง QR Code ได้ง่ายๆ ด้วยการใช้โปรแกรมหรือจากเว็บไซต์ที่ให้บริการสร้าง QR Code ซึ่งสามารถบันทึกเป็นไฟล์รูปภาพนำไปใช้งานได้ เช่น  http://tools.thaibizcenter.com/qrcode/ , http://tools.thaibizcenter.com/qrcode/ ,https://createqrcode.appspot.com/

          ปัจจุบันนี้ได้เริ่มมีการนำคิวอาร์โค้ดมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากคิวอาร์โค้ด มีคุณสมบัติเด่นแตกต่างจากบาร์โค้ดแบบเดิมในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการบรรจุข้อมูลที่มากกว่า สามารถปรับขนาดเล็กใหญ่ได้ตามต้องการ  สามารถประมวลผลได้หลายประเภท  และความสามารถในการกู้คืนข้อมูลที่เสียหายได้ การนำเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ดไปใช้งานนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะประเภทของงาน เช่น ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ มีการติดบาร์โค้ดบนชิ้นส่วนอะไหล่ยนต์ต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลของอะไหล่ชิ้นนั้น เช่น ชื่อรุ่น รหัสอะไหล่ และประเภทของอะไหล่  ด้านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ เช่น หนังสือพิมพ์ โปสเตอร์ แผ่นพับ หรือใบปลิว  มีการนำคิวอาร์โค้ดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสื่อโฆษณา เพื่อให้ผู้พบเห็นเกิดความสนใจในตัวสินค้า และสามารถใช้มือถือที่มีกล้องอ่านคิวอาร์โค้ดเพื่อเชื่อมต่อลิงก์เข้าสู่เว็บไซต์ได้  นอกจากนี้หลายๆ ประเทศเริ่มใช้คิวอาร์โค้ดในบัตรเครดิด  บัตรประกันสังคม  ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์  บัตรประจำตัวประชาชน  ในอนาคตคิวอาร์โค้ดจะเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้นอย่างแน่นอน

ยกร่างบทความโดย นายพลกฤษณ์  รินทรึก โรงเรียนจำปาหลวงวิทยาคม  จ.กาฬสินธุ์
บรรณาธิการโดย คณะบรรณาธิการสาขาคอมพิวเตอร์ สสวท

อ้างอิง

[1]      สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ, แนะนำเทคโนโลยีบาร์โค้ด [ออนไลน์].เข้าถึงจาก http://www.nstda.or.th/nstda-knowledge/2866-2d-barcode [2015,Jan 21]

[2]      นายอรรถพล วิเวก,การรับ-ส่งคิวอาร์โค้ดของรูปภาพผ่านระบบเอสเอ็มเอสบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต วิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,2555.

[3]      เศรษฐพงค์  มะลิสุวรรณ: วิชาการดอทคอม,QR Code [ออนไลน์].เข้าถึงจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/41376[2015,Jan 21]

[4]      ธัชกร อ่อนบุญเอื้อ, บาร์โค้ด2 มิติสร้างได้อย่างไร, วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอิสเทิร์นเอเชีย. [ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 หน้า 26-32]

 

บริการจากกูเกิลกับชีวิตประจำวัน

        หลายคนอาจรู้จักกูเกิลในฐานะเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูล (search engine) ที่มีความรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริการค้นหาข้อมูลที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน

google logoรูปที่ 1 ตราสัญลักษณ์บริษัทกูเกิล[1]

  นอกจากบริการค้นหาข้อมูลแล้ว กูเกิลมีบริการหลายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน

image002image003

รูปที่ 2 บริการค้นหาข้อมูลของ google

เช่น เตือนความจำ ตารางนัดหมาย สนทนา อีเมล แปลภาษา ตัวอย่างบริการของกูเกิลดังนี้

  • Gmail บริการรับส่งอีเมลเพื่อการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ผู้ที่มีบัญชีผู้ใช้ Gmail สามารถใช้เชื่อมโยงกับบริการอื่นๆ ของกูเกิลได้ เข้าใช้บริการได้ที่ www.gmail.com หรือใช้งานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต

Gmail

รูปที่ 3 Gmail

  • Google Calendar  บริการปฏิทินและสมุดนัดหมาย ผู้ใช้สามารถทำการบันทึกวันเวลาของการนัดหมาย กำหนดแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนถึงเวลานัดได้โดยเลือกว่าจะให้เตือนผ่านป๊อบอัพหรืออีเมล นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งปันตารางนัดหมายกับบุคคลอื่นได้ เข้าใช้บริการได้ที่ www.google.com/calendar หรือใช้งานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต

 

Google Calendar

รูปที่ 4 Google Calendar

  • Google Search บริการค้นหาข้อมูลที่เป็นข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอ โดยสามารถกำหนดรายละเอียดในการค้นหาเช่น ช่วงเวลาที่ข้อมูลนั้นๆ ถูกอัพโหลด ชนิดของไฟล์ รูปแบบของภาพ  ขนาดของภาพ  เข้าใช้บริการได้ที่ www.google.com หรือใช้งานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต
  • Google+ บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ (social networking) ทำให้เราแบ่งปันข้อมูลทั้งข้อความ ภาพ เสียง กับเพื่อนที่อยู่ในแวดวง (circle) ได้ เข้าใช้บริการได้ที่ https://plus.google.com หรือใช้งานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต

 Google+

รูปที่ 5  Google+ [2]

  • Hangouts บริการสำหรับติดต่อสื่อสารผ่านข้อความ เสียงหรือวิดีโอ การสนทนาผ่านวิดีโอนั้นสามารถพูดคุยเป็นกลุ่มได้ครั้งละไม่เกิน 10 คน[3]   การเข้าใช้บริการต้องใช้ผ่าน Google+ ที่ https://plus.google.com/ หรือใช้งานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต

image008

รูปที่ 6  โปรแกรม Hangouts

  • Google Drive บริการพื้นที่เก็บข้อมูลระบบคลาวด์ นอกจากนี้ยังมีบริการสำหรับสร้างไฟล์ประมวลผลคำ (Google docs) ไฟล์ตารางงาน (Google sheets) ไฟล์นำเสนอ (Google slides) แบบสอบถาม (Google forms) โดยเข้าใช้งานได้ที่ www.google.com/drive/ หรือใช้งานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต

image009

รูปที่ 7 Google Drive

  • Google Sites บริการพื้นที่และเครื่องมือสำหรับการสร้างเว็บไซต์ เว็บไซต์ที่ได้มี URL คือ https://sites.google.com/site/ชื่อเว็บตามที่ตั้งไว้/  โดยสามารถใส่ข้อความ ภาพแล้ว และลิงค์เชื่อมโยงวิดีโอจาก YouTube และสร้างลิงค์สำหรับการดาวน์โหลดไฟล์ได้อีกด้วย ช่องทางสำหรับการสร้างเว็บคือ https://sites.google.com/

Google Sites

รูปที่ 8 Google Sites

  • Blogger บริการสร้างบล็อก (Blog) มีเครื่องมือพื้นฐานสำหรับการตกแต่งบล็อก เช่น การปรับแต่งข้อความ การใส่ภาพ ลิงค์ วิดีโอ เข้าใช้บริการได้ที่ www.blogger.com หรือใช้งานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต

Blogger

รูปที่ 9 Blogger

  • YouTube ให้บริการพื้นที่สำหรับแบ่งปันวิดีโอ เช่นสื่อการสอน รายการโทรทัศน์ รีวิวอุปกรณ์ สาธิตการประกอบอาหาร ฯลฯ  เข้าใช้บริการได้ที่ www.youtube.com หรือใช้งานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต

YouTube

รูปที่ 10 YouTube นำเสนอสื่อการสอนภาษาไพทอน

  • Google Translate บริการช่วยแปลภาษา มีทั้งคำอ่าน และเสียงอ่าน ทำให้เราฝึกออกเสียงได้ สามารถแปลได้ทั้งคำศัพท์ ประโยค และเว็บเพจ หากป้อนเป็นคำจะแปลความหมายพร้อมบอกชนิดของคำด้วย เข้าใช้บริการได้ที่ https://translate.google.com หรือใช้งานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต

Google Translate

รูปที่ 11 การใช้ Google Translate แปลคำศัพท์

 

Google Translate รูปที่ 12 การใช้ Google Translate แปลเว็บ

  • Google Maps บริการค้นหาสถานที่ การนำทาง และข้อมูลเส้นทาง  ในบางพื้นที่สามารถใช้บริการ Street View เพื่อแสดงภาพพื้นที่จริงได้  ใช้บริการได้ที่ https://maps.google.com หรือใช้งานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต


Google Maps

Street view

รูปที่ 13 Google Maps และ Street view

  • เครื่องมือแปลงหน่วยวัดค่า บริการแปลงหน่วยวัดค่าต่างๆ จากหน่วยหนึ่งไปเป็นอีกหน่วยเช่นอัตราแลกเปลี่ยนเงิน อุณหภูมิ ความยาว ปริมาตร 

 

การแปลงค่าเงิน

รูปที่ 14 การแปลงค่าเงิน

  • Calculator บริการเครื่องคิดเลขที่สามารถคำนวณค่าต่างๆ เช่น sin, cos, tan, log วิธีเข้าใช้บริการให้พิมพ์คำว่า “calculator”  ในช่องค้นหาบนเว็บไซต์กูเกิล ดังตัวอย่างในรูปที่ 10

google Calculator

รูปที่ 15 ตัวอย่างหน้าต่าง Calculator

  • Google Play บริการร้านค้าออนไลน์ ที่มีแอพลิเคชัน เพลง ภาพยนตร์และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่ให้ดาวน์โหลดไปใช้ได้ฟรีและเสียค่าใช้จ่าย ใช้บริการได้ที่ https://play.google.com หรือใช้งานผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต
  • Android ระบบปฏิบัติการที่ถูกสร้างเพื่อใช้งานบนสมาร์ทโฟน แทบเล็ต สมาร์ททีวี  
  • Google Chrome เว็บเบราว์เซอร์ใช้สำหรับเปิดเว็บเพจ สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมได้จาก www.google.com/chrome/

การใช้งานบางบริการของกูเกิลต้องลงชื่อเข้าใช้งาน (login) โดยใช้บัญชีผู้ใช้ Gmail หรือบัญชีผู้ใช้กูเกิล (Google Account) เนื่องจากกูเกิลมีระบบการจัดเก็บข้อมูลการใช้งานและจะทำการเชื่อมโยงข้อมูล(Synchronize) เมื่อเปิดใช้งานบริการต่างๆ ของกูเกิล เช่น ประวัติการเข้าชม คั่นหน้า (Bookmark) ปฏิทิน สมุดติดต่อ (Contact) [5]

ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานของเราว้ทำให้กูเกิลสามารถแนะนำข้อมูลได้ใกล้เคียงความต้องการของเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ และอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต เช่น การค้นหาสถานที่ เส้นทางการเดินทาง หรือแม้แต่วิธีเดินทาง การแจ้งเตือนนัดหมายต่างๆ และวันเกิด โดยใช้ข้อมูลจากปฏิทิน (Google calendar) มีการดึงเบอร์โทรศัพท์จากสมุดติดต่อ (Contact) ในโทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android มาเก็บไว้ในสมุดติดต่อ (Contact) ของบัญชีผู้ใช้กูเกิล การเชื่อมโยงข้อมูลของกูเกิลจึงส่งผลให้ผู้ใช้มีความสะดวกสบายมากขึ้น

เมื่อมองอีกมุมหนึ่งก็เห็นถึงอันตรายหากบัญชีผู้ใช้กูเกิลถูกโจรกรรม นั่นหมายถึงข้อมูลส่วนตัวของเราอาจถูกนำไปใช้ในทางไม่ดี แม้กูเกิลจะให้มีการตรวจสอบ 2 ขั้นตอน (2-step Verification) เพื่อทำให้การลงชื่อเข้าใช้งานทำได้ปลอดภัยขึ้นโดยต้องระบุบัญชีผู้ใช้กูเกิลและรหัสผ่าน รวมทั้งส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือเพื่อตรวจสอบความเป็นเจ้าของ[6] อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรพิจารณาว่าจะเลือกใช้บริการใดและจะเชื่อมโยงข้อมูลกับบัญชีผู้ใช้กูเกิลหรือไม่ หากมีความจำเป็นต้องใช้ควรมีความรอบคอบ ระมัดระวังไม่ให้รหัสผ่านและโทรศัพท์มือถือตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น

หมายเหตุ  อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ของกูเกิลได้ที่ http://www.google.com/about/products/

ยกร่างบทความโดย นางสาวชุลีพร สืบสิน  โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ภูเก็ต จ.ภูเก็ต
บรรณาธิการโดย คณะบรรณาธิการสาขาคอมพิวเตอร์ สสวท.

อ้างอิง

[1] Available: http://www.google.com (Access 20 January 2015).

[2] “ทำความรู้จักกับ Google+”. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก: http://www.google.com/+/learnmore/features.html (วันที่สืบค้น 21 มกราคม 2558).

[3] Available: http://www.google.com/+/learnmore/hangouts/ (Access 29 January 2015).

[4] “ทำไมจึงควรลงชื่อเข้าใช้ Chrome”. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก: https://support.google.com/chrome/answer/165139?hl=th (วันที่สืบค้น 21 มกราคม 2558).

[5] “About 2-Step Verification”. [Online]. Available: http://support.google.com/accounts/answer/180744?hl=en (Access 21 January 2015).

Social Network สร้างสรรค์หรือทำลาย “การเรียนรู้”

                “… Facebook ของคุณชื่อว่าอะไร…” , “…ขอเพิ่มเป็นเพื่อนได้ไหมครับ..”, “Id Line ของคุณคืออะไร..”  ประโยคคำถามเหล่านี้เป็นคำถามในเครือข่ายสังคม    “Social Network” เป็นคำที่ทรงอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกเพศทุกวัย ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม แม้กระทั่งในวงการศึกษา

                เหตุใด Social Network จึงมีอิทธิพลในสังคมไทย คำถามนี้เป็นคำถามที่ผู้เขียนมีความเห็นว่า เพราะคนไทยยินดีที่จะบริโภค Social Network นั่นเอง  ข้อมูลจากเว็บไซต์ socialbakers.com1 เปิดเผยว่า ใน พ.ศ.2554 มีคนไทยใช้งาน Facebook ประมาณ 13 ล้านคน คิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มคนที่ใช้เป็นกลุ่มคนที่มีสถานะทางการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคมสูง และช่วงอายุของคนที่ใช้งาน Social Network คือช่วงอายุ 18-34 ปี ซึ่งเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศชาติ  มีการใช้ชีวิตประจำวันเกี่ยวข้องกับการใช้ Social Network เป็นอย่างมาก ซึ่งหากสังคมไทยไม่เร่งสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อตั้งรับกระแส Social Network ให้ดีแล้ว ประเทศไทยอาจจะได้รับพิษภัยของ Social Network มากกว่าที่จะรับประโยชน์ก็ได้

Social Network มักใช้สื่อสารที่มาจากคนหลายกลุ่ม เช่น คนในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน จึงทำให้คนในสังคมไทยให้ความสำคัญกับ Social Network มากกว่าการสื่อสารแบบอื่น และคุณลักษณะของ Social Network สามารถแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารด้วยความรวดเร็ว จึงทำให้ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีความชื่นชอบและนิยมมากขึ้น นักเรียนเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่นิยมใช้ Social Network ในชีวิตประจำวันทั้งเรื่องส่วนตัวและการศึกษา หากครูไม่นำการใช้ Social Network เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ดูเหมือนกับจะกลายเป็นเรื่องล้าสมัย และนักเรียนก็จะไม่ให้ความสนใจ หรือไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้น ครูจะมีกุศโลบายอย่างไรที่จะช่วยให้นักเรียนใช้ Social Network ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การนำ Social Network มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในเรียนรู้ของนักเรียนสามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับครูผู้สอนที่จะต้องพิจารณาถึงจุดประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียน เช่น ครูสามารถแจ้งข้อมูลข่าวสารให้นักเรียนทราบโดยการ โพสต์ลงในกระดานข้อความ หรือการนัดหมายกิจกรรมผ่านอีเมล [2,3,4]

ในการนำ Social Network มาใช้จัดการเรียนรู้นั้น ไม่ควรใช้ทุกแผนการเรียนรู้ เพราะ Social Network เป็นเพียงสื่อการจัดการเรียนรู้ประเภทหนึ่งเท่านั้น การออกแบบการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาใดๆ ควรจะมีการเลือกใช้สื่อให้หลากหลาย  โดยพิจารณาเลือกใช้ตามคุณสมบัติของ Social Network  เช่น การมอบหมายงานและรับส่งงานด้วยอีเมล ต้องแนะนำให้นักเรียนคำนึงถึงมารยาทให้การรับส่งข้อมูล  พิมพ์ข้อความตามรูปแบบของจดหมาย ซึ่งจะต้องมีคำขึ้นต้น เช่น เรียน คุณครู …..  สำหรับเนื้อความของจดหมายจะต้องพิมพ์เป็นย่อหน้าให้ชัดเจน และจะต้องมีคำลงท้ายเสมอ เช่น ด้วยความเคารพอย่างสูง เป็นต้น

นอกจากนี้ ควรให้นักเรียนส่งสำเนาอีเมลไปยังผู้ปกครอง เพื่อให้ทราบผลการปฏิบัติงานของนักเรียน หากนักเรียนคนใดที่ผู้ปกครองไม่ได้ใช้อีเมล  ให้ส่งถึงบุคคลอื่นที่เป็นผู้ใกล้ชิดหรือคนรู้จักได้ เช่น ครูประจำชั้นของนักเรียน ญาติ และให้ส่งความคิดเห็นของผู้ปกครองกลับมายังผู้สอน  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลงานนักเรียน  ดังนั้นการนำ Social Network มาใช้ในการจัดการเรียนรู้สามารถทำได้ โดยขึ้นอยู่กับครูผู้ออกแบบการจัดการเรียนรู้ว่าจะพิจารณาเลือกใช้ Social Network อย่างไรจึงจะเหมาะสมกับจุดประสงค์การเรียนรู้

                ครูผู้สอนควรนำ Social Network ที่นักเรียนให้ความสนใจ เช่น facebook หรือ line มาเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการเรียนรู้ เช่น สร้างกลุ่มใน facebook และ line เพื่อเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารระหว่างครูและนักเรียน เมื่อครูได้แจกเอกสารใบความรู้ หรือมอบหมายภาระงานใดๆ ในห้องเรียนแล้ว ครูก็สามารถโพสไฟล์เอกสารใบความรู้หรือไฟล์รายละเอียดภาระงานในรูปแบบของไฟล์เอกสาร หรือไฟล์รูปภาพลงในกลุ่ม  facebook และ line อีกครั้งเพื่อเป็นการย้ำเตือนให้นักเรียนรับทราบ หากนักเรียนมีข้อสงสัยหรือข้อซักถามเกี่ยวกับเนื้อหาสาระการเรียนหรือภาระงานก็สามารถพิมพ์ข้อความหรือคำถามส่งในกลุ่ม facebook หรือ line ได้ทันที ครูผู้สอนก็จะตอบข้อคำถามนั้นกลับมาในกลุ่ม facebook หรือ line ซึ่งจะช่วยให้เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ได้เห็นข้อคำถามและตำตอบนั้นพร้อมกัน นับเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีประโยชน์ต่อคนกลุ่มใหญ่ด้วย  นอกจากนี้ครูอาจเชิญชวนให้ผู้ปกครองนักเรียนที่ใช้งาน facebook หรือ line เข้าร่วมกลุ่มดังกล่าวที่สร้างขึ้น ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองนักเรียนได้รับทราบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ในรายวิชา ผู้ปกครองนักเรียนอาจจะช่วยกำชับและกระตุ้นเตือนนักเรียนให้มีความรับผิดชอบการเรียนในรายวิชานั้นๆ มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างดังกล่าวข้างต้นนับเป็นการใช้ Social Network  มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                และในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารจะใช้ การใช้ครูผู้สอนการใช้ Social Network เป็นการใช้งานส่วนบุคคลอย่างอิสระ ดังนั้น การดูแลป้องกันนักเรียนให้ห่างไกลจากพิษภัยของการใช้ Social Network จะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายโดยเฉพาะครูและผู้ปกครอง การควบคุมดูแลภายในห้องเรียนเป็นความรับผิดชอบของครู เวลาอยู่ที่บ้าน การเอาใจใส่และดูแลเป็นหน้าที่ของผู้ปกครอง ครูควรชี้แจงให้ผู้ปกครองได้ทราบถึงความจำเป็นที่นักเรียนต้องใช้งาน Social Network มาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ปกครองช่วยติดตามและกวดขันการใช้งาน Social Network ของนักเรียนให้มีความปลอดภัย

                กล่าวโดยสรุปการออกแบบกิจกรรรมการเรียนรู้ของครูเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ Social Network เป็นสื่อที่สร้างสรรค์การเรียนรู้ของนักเรียน ครูควรพิจารณาเลือก Social Network มาใช้ให้เหมาะสม รวมถึงการมอบหมายงาน ควรสนับสนุนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านต่างๆ อย่างถูกวิธี ทั้งนี้ครูควรปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นักเรียนในการใช้ Social Network อย่างคุณธรรมจริยธรรมและไม่ผิดกฎหมาย อีกทั้งร่วมมือกับผู้ปกครอง ดูแล ติดตามและกวดขันการใช้งาน Social Network ของนักเรียน  สิ่งเหล่านี้จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่นักเรียนในการตั้งรับกระแสการใช้งาน Social Network ในสังคมไทยให้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ 

ยกร่างบทความโดย นายกำพล วิลยาลัย โรงเรียนบรมราชินีนาถราชวิทยาลัย  จ.ราชบุรี
บรรณาธิการโดย คณะบรรณาธิการสาขาคอมพิวเตอร์ สสวท.

บรรณานุกรม

[1] socialbakers.com (2554). ผลกระทบของโซเชียลเน็ตเวิร์คหรือโซเชียลมีเดียต่อสังคมไทย [ออนไลน์].
                เข้าถึงได้จาก https://sites.google.com/site/socialnetwork52011011419/phlk-ra-thb.
                สืบค้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2558.

[2] เสกสรร สายสีสด (2557).  สื่อใหม่กับการเรียนรู้ [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
               http://www.slideshare.net/Drseksun1/ci13501chap4. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2558.

[3] ตวงพร ดำฤทธิ์ (2555 ). Social Network กับการเรียนการสอน [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
               http://www.gotoknow.org/post/443605. สืบค้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2558.

[4] สุพณิดา สุมิตร (2555).  Social Network กับการศึกษา [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
               http supanida5521202761.blogspot.com/2012/10/cosial-network.html?m=1. สืบค้นเมื่อวันที่
               20 มกราคม 2558.

การเขียนโปรแกรมกับการพัฒนาทักษะด้านการคิด

อาชีพโปรแกรมเมอร์เป็นอาชีพที่หลายๆ คนใฝ่ฝัน เพราะมีรายได้สูงและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน  สืบเนื่องจากการเจริญเติบโตทางด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่มีการแข่งขันสูง ส่งผลให้สถาบันการศึกษาหลายแห่งมีหลักสูตรการเรียนการสอนการเขียนโปรแกรมตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา  การสอนให้นักเรียนเป็นโปรแกรมเมอร์ได้นั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ  ซึ่งต้องอาศัยทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ การใช้เหตุผลและการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน รวมไปถึงการใช้ขั้นตอนวิธีหรืออัลกอริทึม (Algorithm) ในการถ่ายทอดความคิดอย่างเป็นระบบจึงจะนำไปสู่การเขียนโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพ

อัลกอริทึม คืออะไร (What is Algorithm?)

ราชบัณฑิตยสถาน ได้บัญญัติคำว่าอัลกอริทึม (Algorithm) เป็นภาษาไทยว่าขั้นตอนวิธี[1] ซึ่งมีความหมายคือ เป็นลำดับของขั้นตอนการคำนวณที่ใช้แก้ปัญหา โดยการเปลี่ยนข้อมูลนำเข้าของปัญหา (input) ออกมาเป็นผลลัพธ์ (output) ขั้นตอนวิธีดังกล่าวนั้นจะสามารถนำมาเขียนเป็นโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ได้ [2]

ในการแก้ปัญหาโดยใช้คอมพิวเตอร์นั้น  การออกแบบวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนและง่ายต่อการทำความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญมาก  เพราะจะทำให้สามารถเขียนโปรแกรมจากขั้นตอนวิธีที่ได้ออกแบบไว้ได้ง่าย   ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้เพื่อการออกแบบขั้นตอนวิธี  เช่น รหัสลำลอง (pseudocode)  เป็นการเขียนขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา  โดยการอธิบายเป็นข้อความทีละขั้น

image001
รูปที่  1 ตัวอย่างรหัสลำลอง

ผังงาน (Flowchart) เป็นการใช้สัญลักษณ์ในการแสดงรายละเอียดและลำดับของแต่ละขั้นตอนที่ใช้แก้ปัญหา[3]

image002รูปที่ 2 ตัวอย่างผังงาน

           รหัสลำลองหรือผังงานจึงเป็นการเขียนความคิดในการแก้ปัญหาที่เป็นขั้นตอนวิธีออกมาในรูปแบบของข้อความหรือสัญลักษณ์เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่าขั้นตอนวิธีนั้นสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่  ซึ่งปัญหาแต่ละปัญหาอาจจะมีวิธีในการแก้ปัญหาได้หลายวิธีซึ่งขั้นตอนวิธีในการแก้ปัญหาของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไปตัวอย่างการแสดงขั้นตอนวิธีในการแก้ปัญหาของการหา ผลรวมของจำนวนนับตั้งแต่ 1 – N  ดังนี้

ขั้นตอนวิธีของนักเรียนคนที่ 1 ขั้นตอนวิธีของนักเรียนคนที่ 2

ภาพที่ 3 ผังงานในการแสดงขั้นตอนวิธีในการหาผลรวมของจำนวนนับตั้งแต่ 1 – N

           จะเห็นได้ว่านักเรียนทั้งสองคนแสดงลำดับขั้นตอนวิธีในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันแต่ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน  จากผังงานนักเรียนคนที่ 1 คิดขั้นตอนวิธีการหาผลลัพธ์จากการนำตัวเลขทั้งหมดบวกกันไปเรื่อยๆ จนถึงจำนวนที่ N  หรือตัวสุดท้าย  ทำให้มีการประมวลผลหรือคำนวณถึง N ครั้งกว่าจะได้ผลลัพธ์  สำหรับนักเรียนคนที่ 2  คำนวณโดยใช้สูตรมีการประมวลผลเพียงครั้งเดียวก็สามารถหาผลลัพธ์ได้ซึ่งมาจากการเรียนรู้และประสบการณ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ดังนั้นนอกจากสองวิธีที่กล่าวมาอาจยังมีวิธีในการแก้ปัญหานี้อีก

ดังนั้นผู้สอนจะต้องสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ขั้นตอนวิธีที่หลากหลาย  ชี้แนะแนวทางในการแก้ปัญหาให้ผู้เรียนสามารถเลือกใช้ขั้นตอนวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา  การสอนกระบวนการคิดแก้ปัญหานั้นจะต้องสอนให้ผู้เรียนได้ใช้เหตุผลในการการหาคำตอบ  อาจจะใช้การลองผิดลองถูก  การแยกคำตอบที่ไม่ต้องการ   หรือใช้วิธีการอื่นๆ ที่สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับตัวปัญหาและประสบการณ์ของผู้แก้ปัญหาเอง  วิธีการเหล่านี้มีขั้นตอนหลักที่คล้ายคลึงกัน  ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน[5]     ได้แก่  1) การวิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา  2) การเลือกเครื่องมือและออกแบบขั้นตอนวิธีในการแก้ปัญหา  3) การดำเนินการแก้ปัญหา      4) การตรวจสอบและปรับปรุงวิธีการ การฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการคิดแก้ปัญหานั้นผู้สอนจะต้องหารูปแบบของปัญหาที่หลากหลายเพื่อสร้างประสบการณ์ในการแก้ปัญหาให้กับผู้เรียน  และฝึกให้ผู้เรียนได้ใช้วิธีการแก้ปัญหาให้ครบตามหลักและวิธีการแก้ปัญหา  จะทำให้ผู้เรียนมีทักษะด้านการคิดที่สูงขึ้นซึ่งวิธีการเหล่านี้จะนำไปใช้ในการฝึกเขียนโปรแกรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเรียนรู้ขั้นตอนวิธีจำเป็นต่อการเขียนโปรแกรมอย่างยิ่งเพราะเป็นการพัฒนาทักษะในด้านการคิดให้ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอนวิธีนำไปสู่เป้าหมายหรือผลลัพธ์ที่ต้องการ ขั้นตอนวิธีในการแก้ปัญหาที่ดีจะช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างมาก  ซึ่งเป็นหลักการที่นักเขียนโปรแกรมทุกคนต้องมี  หากนำกระบวนการคิดตามขั้นตอนวิธีไปใช้วางแผนหรือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเพื่อให้ได้เป้าหมายที่ต้องการ โดยกำหนดขั้นตอนการดำเนินชีวิตและปฏิบัติตามทุกขั้นตอนก็จะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแน่นอน

ยกร่างบทความโดย นายพลกฤษณ์  รินทรึก โรงเรียนจำปาหลวงวิทยาคม  จ.กาฬสินธุ์
บรรณาธิการโดย คณะบรรณาธิการสาขาคอมพิวเตอร์ สสวท

อ้างอิง

[1]      ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2546,2546 หน้า 5

[2]      สมชาย ประสิทธิ์จูตระกูล, การออกแบบและวิเคราะห์อัลกอริทึม, 2545, หน้า 1

[3]      Wikipedia:The Free Encyclopedia,ขั้นตอนวิธี[ออนไลน์]. เข้าถึงจาก http://th.wikipedia.org/wiki/ขั้นตอนวิธี [2015,Jan 21]

[4]      สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  กระทรวงศึกษาธิการ,เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6,พ.ศ.2555,หน้า 191

[5]      สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  กระทรวงศึกษาธิการ,เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6,พ.ศ.2555,หน้า 188-193

“โครงงานคอมพิวเตอร์” สะท้อนสมรรถนะการเรียนรู้ด้าน ICT

               การสอนแบบโครงงานเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการฝึกปฏิบัติ โดยให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมในปัญหาหรือประเด็นที่นักเรียนสงสัย ด้วยการวางโครงงานและดำเนินการให้สำเร็จตามโครงงานนั้น อาจเป็นโครงงานที่จัดทำเป็นหมู่คณะหรือคนเดียวก็ได้ เพื่อให้นักเรียนรู้จักการทำงานเป็นกลุ่มได้ใช้สติปัญญา ไหวพริบ ความรอบคอบ ความอดทนและความรับผิดชอบ1  การสอนแบบโครงงานจึงเป็นกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ส่งเสริมให้นักเรียนศึกษาหาคำตอบในประเด็นที่ตนเองสนใจ โดยใช้ทักษะกระบวนการศึกษามีที่ขั้นตอน และใช้รูปแบบวิธีการศึกษาหาความรู้ที่หลากหลาย ดังนั้น “โครงงาน” ก็อาจเป็นภาพสะท้อนผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนได้เช่นเดียวกัน ปัจจัยเกื้อหนุนให้การสอนแบบโครงงานให้ประสบความสำเร็จได้ก็คือ “ครู”   ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในทุกขั้นตอนของการทำโครงงาน ครูควรกระตุ้นและอำนวยความสะดวกในการทำงานให้แก่นักเรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย  เสนอแนะแหล่งข้อมูลและแหล่งความรู้ในการศึกษาค้นคว้า ตลอดจนตรวจการเขียนรายงานโครงงานให้นักเรียนอย่างละเอียด  
                ฐานะครูผู้สอนโครงงานคอมพิวเตอร์จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำนักเรียนในทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจ แม้นักเรียนจะนำเสนอประเด็นหัวข้อที่ตนเองสนใจศึกษา แต่ครูจะต้องให้ข้อคิดในการตัดสินใจแก่นักเรียนว่า การเลือกหัวข้อที่จะนำมาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ควรพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย เช่น นักเรียนควรมีความรู้และทักษะพื้นฐานอย่างเพียงพอในประเด็นหัวข้อที่ต้องการศึกษา สามารถจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องได้เพียงใด ระยะเวลาในการพัฒนาโครงงานมีเพียงพอหรือไม่ รวมไปถึงการใช้งบประมาณอย่างเหมาะสม เป็นต้น     ครูควรจะเน้นย้ำให้นักเรียนตระหนักว่าองค์ประกอบข้างต้นนี้จะเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าการพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ของนักเรียนสัมฤทธิ์ผลเพียงใด

                “การเขียนรายงาน” เป็นขั้นตอนหนึ่งที่ครูควรแนะนำให้นักเรียนใส่ใจและตระหนักว่า การเขียนรายงานเป็นการสื่อความหมายให้ผู้อื่นได้เข้าใจแนวคิดในการพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ของตนเอง ควรใช้ภาษาให้ถูกต้อง อ่านง่าย ชัดเจน กระชับ ครอบคลุมทุกหัวข้อของการเขียนรายงานและอ้างอิงแหล่งข้อมูลให้ถูกต้องตามหลักวิชาการเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้มากขึ้น 

image001
นักเรียนร่วมปรึกษาหารือปฏิบัติโครงงานโครงงาน

                ในพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ต้องมีการวัดและประเมินผล ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่สะท้อนให้ทราบว่า นักเรียนเกิดการเรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ครูควรจะทำความเข้าใจและตกลงร่วมกันกับนักเรียนเกี่ยวกับเกณฑ์การวัดและประเมินผลก่อนเริ่มขั้นตอนการพัฒนาโครงงาน โดยแจ้งให้นักเรียนทราบว่าการวัดและประเมินผลจะเริ่มตั้งแต่ก่อนลงมือทำกิจกรรม กระบวนการทำงานตามแผนที่วางไว้และผลสำเร็จของงาน ตลอดจนจะประเมินการแก้ไขปัญหาหรือข้อบกพร่อง  รวมถึงอุปสรรคที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานจนสิ้นสุดการปฏิบัติงาน การประเมินจะประเมินตามที่ตกลงกันไว้และจะไม่นำผลงานมาเปรียบเทียบกัน เนื่องจากโครงงานคอมพิวเตอร์ของนักเรียนเกิดจากประเด็นหัวข้อที่นักเรียนสนใจใคร่รู้ที่แตกต่างกัน และจะแจ้งผลย้อนกลับแก่นักเรียน เพื่อให้นำผลประเมินไปปรับปรุงและพัฒนาต่อไป ทั้งนี้อาจจะใช้หลักการประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ต้องการให้นักเรียนเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือ  พุทธพิสัย    จิตพิสัยและทักษะพิสัย
                ดังนั้นจะเห็นได้ว่า “โครงงานคอมพิวเตอร์”  เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะช่วยให้นักเรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 สมรรถนะตามหลักสูตรแกนกลาง คือ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตและความสามารถในการใช้เทคโนโลยี  นอกจากนี้ยังจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ ตลอดจนเป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรมของผู้ใช้งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เช่น ไม่คัดลอกโปรแกรมที่มีลิขสิทธิ์ ไม่การละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์ ไม่นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง ผลงานที่ได้ต้องไม่สร้างความเสียหายต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งคุณลักษณะดังกล่าวนี้เมื่อนักเรียนนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันในภายหน้า จะช่วยให้นักเรียนดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข  

 

ยกร่างบทความโดย นายกำพล วิลยาลัย โรงเรียนบรมราชินีนาถราชวิทยาลัย  จ.ราชบุรี
บรรณาธิการโดย คณะบรรณาธิการสาขาคอมพิวเตอร์ สสวท.

บรรณานุกรม

[1] ศุภรัตน์ พรหมทอง (2553) . การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
                    http://supatat-project.blogspot.com/p/blog-page.html. สืบค้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2558.
[2] ณัฎฐ์ชรินทร์ ตลอดพงศ์ (2552) . ครูมืออาชีพกับวิธีการสอนแบบโครงงาน [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
                    http://www.sahavicha.com/?name=article&file=readarticle&id=731.
                    สืบค้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2558.

ทัศนศึกษากับ Google Street View

เขียนโดย นายพนมยงค์ แก้วประชุม นักวิชาการ สาขาคอมพิวเตอร์ สสวท. 

        เทคโนโลยีแผนที่ออนไลน์เป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น  เราใช้บริการแผนที่ออนไลน์ช่วยอำนวยความสะดวก เช่น การค้นหาสถานที่  เส้นทางสำหรับการเดินทาง ตรวจสภาพจราจร   ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ให้บริการแผนที่ออนไลน์[1] เช่น Google Maps[2], Bing Maps[3], Yahoo Maps [4]  ซึ่งเป็นบริการที่ช่วยในการค้นหาสถานที่ต่างๆ จากแผนที่ และบริการอื่นๆ

12-1

รูปที่ 1 การใช้ Google Maps หาเส้นทางการเดินทางโดยรถยนต์จากอนุสารีย์ชัยสมรภูมิมายัง สสวท.

ปัจจุบันบริการ Google Maps นับเป็นบริการค้นหาตำแหน่งบนแผนที่ ซึ่งนอกจากให้ผลการค้นหาที่แม่นยำแล้ว ยังสามารถแนะนำเส้นทางสำหรับการเดินทางไปสถานที่ที่ต้องการได้ดังรูปที่ 1

Google Street View

          บริการ Google Street View เป็นบริการหนึ่งที่มีอยู่ใน Google Maps ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นสถานที่ตามเส้นทางหรือสถานที่ต่างๆ ในรูปแบบสามมิติ ซึ่งช่วยให้มองเห็นรายละเอียดของเส้นทางหรือสถานที่มากยิ่งขึ้น  โดยผู้ใช้สามารถคลิกไอคอน  แล้วลากไปวางบริเวณที่ต้องการ  จะได้ดังรูปที่ 2  ทำให้เห็นภาพสถานที่ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย

 

 12-2

รูปที่ 2  Google Street View บริเวณหน้า สสวท.

สถานที่ทัศนศึกษา

          จากความสามารถของ Google Street View ทำให้เราสามารถทัศนศึกษาไปยังสถานที่ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเดินทางด้วยตนเอง  เพียงแค่ใช้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็สามารถเข้าชมสถานที่ทั้งในและต่างประเทศได้ ตัวอย่างสถานที่ในประเทศเช่น วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพ และดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ ดังรูปที่ 3

  
12-3  12-4

รูปที่ 3 ทัศนศึกษาวัดอรุณราชวราราม และดอยอ่างขาง โดยใช้ Google Street View

ตัวอย่าง สถานที่ต่างประเทศเช่น พิพิธภัณฑ์ลูฟ ประเทศฝรั่งเศส และหอคอยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

 12-5  12-6

รูปที่ 4  ทัศนศึกษาพิพิธภัณฑ์ลูฟ(ซ้าย) หอคอยโตเกียว(ขวา) โดยใช้Google Street View

นอกจากนี้ สามารถเข้าชมสถานที่อื่นๆ ซึ่งมีการแบ่งเป็นหมวดหมู่เอาไว้ โดยเข้าไปชมได้ที่https:// www.google.com/Maps/views/streetview

 12-7

รูปที่ 5 สถานที่สำหรับทัศนศึกษาต่างๆ ทั่วโลก

          Google Street View ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเห็นสถานที่ต่างๆ ในมุมมองสามมิติ ทำให้สามารถทัศนศึกษาสถานที่ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่จริง ซึ่งจะช่วยให้เกิดเรียนรู้อย่างสะดวก นอกจากนี้แล้ว google ยังช่วยประกอบการเรียนรู้เรื่องอื่นๆ เช่น

  • เรียนรู้สภาพดิน หิน หรือการสึกกร่อน จากการสังเกตแกรนด์แคนยอน [5]

12-8

รูปที่ 6 แกรนด์แคนยอน

 

  • เรียนรู้ระบบนิเวศน์ และความหลากหลายทางชีวภาพของหมู่เกาะกาลาปากอส [6]

12-9

รูปที่ 7 หมู่เกาะกาลาปากอส

 

  • เรียนรู้สิ่งมีชีวิตและความเป็นอยู่บริเวณขั้วโลกใต้ [7]

 12-10

รูปที่ 8 บริเวณขั้วโลกใต้

 

  • เรียนรู้สภาพผืนป่าบริเวณแม่น้ำอะซอน [8]

 12-11

รูปที่ 9 ป่าบริเวณแม่น้ำอะซอน

  • เรียนรู้สถาปัตยกรรมและความสวยงามของทัชมาฮาล [9]

12-12

รูปที่ 10 ทัชมาฮาล

 

  • เรียนรู้สิ่งมีชีวิตในทะเล [10]

 12-13

รูปที่ 11 สิ่งมีชีวิตใต้ทะเล

          Google Street View ยังมีประโยชน์ต่อการศึกษาอีกมากมาย ทำให้เราข้ามไปหลายๆ สถานที่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว สามารถศึกษาสถานที่ห่างไกล รวมไปถึงสถานที่อันตรายหรือยากลำบากแก่การเดินทาง แต่ทั้งนี้ Google Street View ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ของโลก อีกทั้งภาพที่เห็นอาจไม่เป็นปัจจุบัน จึงควรพิจารณานำไปใช้ตามความเหมาะสม

 

Link อ้างอิง

  1. Wikipedia:  Global on-line maps, [Online], Available:http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_online_map_services#Global_on-line_Maps  [2014, Mar 25]
  2. Google map, [Online], Available:  https://www.google.com/maps [2014, Mar 25]
  3. Bing Map, [Online], Available: https://www.bing.com/maps [2014, Mar 25]
  4. YAHOO! MAP, [Online], Available: https://maps.yahoo.com/  [2014, May 30]
  5. Google Street View: Grand Canyon, [Online], Available:https://www.google.com/maps/views/streetview/grand-canyon?gl=th  [2014, May 30]
  6. Google Street View: Galapagos Islands, [Online], Available:https://www.google.com/maps/views/streetview/galapagos-islands?gl=th[2014, May 30]
  7. Google Street View: Antarctica, [Online], Available:https://www.google.com/maps/views/streetview/antarctica?gl=th  [2014, May 30]
  8. Google Street View: Amazon, [Online], Available:https://www.google.com/maps/views/streetview/amazon?gl=th  [2014, May 30]
  9. Google Street View: Taj Mahal, [Online], Available:https://www.google.com/maps/views/streetview/taj-mahal?gl=th  [2014, May 30]
  10. Google Street View: Oceans, [Online], Available:https://www.google.com/maps/views/streetview/oceans?gl=th  [2014, May 30]